ขาโก่งในผู้สูงอายุ เกิดจากอะไร มาดูแนวทางการรักษาภาวะขาโก่งผิดรูป
Key Takeaway
|
ภาวะขาโก่งเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ ส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวและคุณภาพชีวิต บทความนี้จะอธิบายถึงสาเหตุ อาการ และวิธีการรักษาภาวะขาโก่งในผู้สูงอายุ เพื่อให้คุณเข้าใจและสามารถดูแลตนเองหรือคนที่คุณรักได้อย่างเหมาะสม
Table of Contents
ขาโก่ง มีลักษณะอย่างไร
ขาโก่ง (Bowlegs) หรือที่เรียกในทางการแพทย์ว่า “Genu Varum” คือภาวะที่ขาทั้งสองข้างโค้งออกด้านนอก ทำให้เมื่อยืนตรง ขาจะไม่ชิดกัน มีช่องว่างระหว่างหัวเข่าทั้งสองข้าง ในขณะที่ข้อเท้าชิดกัน ลักษณะนี้ทำให้เกิดรูปตัว O เมื่อมองจากด้านหน้า ซึ่งส่งผลต่อการทรงตัวและการเดิน
ภาวะขาโก่งในผู้สูงอายุ เกิดจากอะไร
ขาโก่งในผู้สูงอายุ เกิดจากหลายปัจจัย ดังนี้
- โรคข้อเข่าเสื่อม (Osteoarthritis): โรคข้อเข่าเสื่อมเป็นสาเหตุหลักที่พบบ่อยที่สุด เกิดจากการเสื่อมสภาพของกระดูกอ่อนในข้อเข่า ทำให้ข้อเข่าผิดรูป
- การขาดวิตามินดี: นำไปสู่ภาวะกระดูกอ่อน (Osteomalacia) ทำให้กระดูกอ่อนแอและโค้งงอได้ง่าย
- โรคพาเจต (Paget’s disease): เป็นโรคที่ทำให้กระดูกเติบโตผิดปกติ ส่งผลให้กระดูกขาโค้งงอ
- การบาดเจ็บหรือกระดูกหักที่รักษาไม่ถูกต้อง: อาจทำให้กระดูกติดในตำแหน่งที่ผิดปกติ นำไปสู่ภาวะขาโก่ง
- ขาโก่งตั้งแต่วัยเด็กที่ไม่ได้รับการรักษา: อาจพัฒนาเป็นขาโก่งรุนแรงในวัยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ
นัดหมายแพทย์เพื่อปรึกษา และวินิจฉัยอาการได้ที่ 02-080-8999
Line @kdmshospital
สาเหตุของการเกิดภาวะขาโก่งของคนทั่วไป
นอกจากผู้สูงอายุแล้ว คนทั่วไปหรือคนวัยอื่นๆ ก็มีความเสี่ยงเกิดภาวะขาโก่งได้ด้วยเช่นกัน โดยมีปัจจัยเสี่ยงดังนี้
- พันธุกรรม: บางคนมีแนวโน้มทางพันธุกรรมที่ทำให้เกิดขาโก่งได้ง่าย
- โรคบลาวต์ (Blount’s disease): พบได้ในเด็ก ทำให้กระดูกหน้าแข้งเติบโตผิดปกติ
- การขาดสารอาหาร: โดยเฉพาะแคลเซียมและวิตามินดี ซึ่งสำคัญต่อการพัฒนาของกระดูก
- น้ำหนักตัวมากเกินไป: ทำให้เกิดแรงกดทับที่ข้อเข่ามากขึ้น ส่งผลให้ขาโก่งได้
- การใช้งานข้อเข่าผิดวิธี อย่างต่อเนื่องยาวนาน: เช่น การยกของหนักบ่อยๆ หรือการเล่นกีฬาที่กระแทกข้อเข่ามาก
ขาโก่ง ทำให้ปวดเมื่อยไหม
ผู้ที่มีภาวะขาโก่ง มักประสบกับอาการปวดเมื่อยได้โดยเฉพาะบริเวณเข่าและข้อเท้า เนื่องจากการกระจายน้ำหนักที่ไม่สมดุล ทำให้เกิดแรงกดทับมากเกินไปในบางตำแหน่งของร่างกาย นอกจากนี้ ยังอาจส่งผลให้เกิดอาการปวดหลังได้ เพราะร่างกายต้องปรับสมดุลเพื่อชดเชยการทรงตัวที่ผิดปกติ และอาการปวดเมื่อยนี้ มักพบได้บ่อยขึ้นในผู้สูงอายุ อาการที่พบได้บ่อย ดังนี้
- ปวดเข่า: โดยเฉพาะเวลาเดิน หรือยืนเป็นเวลานาน
- ปวดสะโพก: เนื่องจากการรับน้ำหนักที่ไม่สมดุล
- ปวดหลังส่วนล่าง: เกิดจากการปรับท่าทางเพื่อรักษาสมดุล
- เมื่อยล้าง่าย: เพราะกล้ามเนื้อต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อรักษาสมดุล
- ข้อเข่าฝืด: โดยเฉพาะหลังจากนั่งเป็นเวลานานแล้วลุกขึ้นยืน
อย่างไรก็ตาม อาการปวดเมื่อยเหล่านี้อาจรุนแรงขึ้นตามเวลา และส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
ขาโก่ง สามารถกลับมาตรงเองได้หรือไม่
ในผู้สูงอายุ ภาวะขาโก่งมักไม่สามารถกลับมาตรงเองได้ เนื่องจากสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการเสื่อมสภาพของกระดูกและข้อต่อ ซึ่งเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างช้าๆ และต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม มีข้อควรพิจารณา ดังนี้
- การเสื่อมสภาพตามวัย: ในผู้สูงอายุ การเสื่อมของกระดูกอ่อนในข้อเข่า และการสูญเสียมวลกระดูกเป็นกระบวนการที่ไม่สามารถย้อนกลับได้โดยธรรมชาติ
- ความรุนแรงของภาวะ: ขาโก่งที่มีความรุนแรงน้อยอาจไม่แย่ลงอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่สามารถกลับมาตรงเองได้
- สาเหตุที่แก้ไขได้: ในบางกรณี เช่น การขาดวิตามินดี หากได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงที อาจช่วยชะลอหรือป้องกันไม่ให้ขาโก่งแย่ลง แต่ไม่สามารถทำให้ขากลับมาตรงเองได้
- ผลของการรักษา: แม้ว่าขาจะไม่สามารถกลับมาตรงเองได้ แต่การรักษาที่เหมาะสม เช่น การทำกายภาพบำบัด หรือการใช้อุปกรณ์พยุง อาจช่วยบรรเทาอาการและชะลอการดำเนินของโรคได้
- การผ่าตัด: ในกรณีที่มีความจำเป็น การผ่าตัดอาจเป็นทางเลือกเพื่อแก้ไขความผิดปกติของกระดูก แต่ไม่ใช่การกลับมาตรงเองตามธรรมชาติ
- การป้องกัน: แม้ว่าขาโก่งที่เกิดขึ้นแล้วจะไม่สามารถกลับมาตรงเองได้ แต่การป้องกันตั้งแต่วัยหนุ่มสาวอาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะนี้ได้
ด้วยเหตุนี้ การดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ การรักษาน้ำหนักให้เหมาะสม และการออกกำลังกายอย่างพอเหมาะจึงเป็นสิ่งสำคัญในการชะลอการเกิดภาวะขาโก่งในผู้สูงอายุ แม้ว่าจะไม่สามารถทำให้ขากลับมาตรงเองได้ก็ตาม
วิธีการรักษาภาวะขาโก่ง
การรักษาภาวะขาโก่งสามารถแบ่งออกเป็น 2 วิธีหลักๆ คือ การรักษาด้วยตนเองและการรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์ โดยมีรายละเอียดดังนี้
การรักษาขาโก่งด้วยตนเอง
จริงๆ แล้วเราไม่สามารถแก้ไขความโก่งของขาที่เกิดขึ้นแล้วได้ด้วยตนเอง โดยเฉพาะความโก่งที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของกระดูกและข้อต่อ อย่างที่พบในโรคข้อเข่าเสื่อมระยะปานกลาง-รุนแรง แต่คนไข้สามารถดูแลรักษาตนเองเพื่อลดอาการปวด หรือปัญหาที่เกิดจากขาโก่งให้ลดน้อยลงได้ ซึ่งวิธีแก้ขาโก่งด้วยตัวเองสามารถทำได้ ดังนี้
การออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อขา
- การเดินบนสายพาน: ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขาโดยไม่กระทบข้อเข่ามากเกินไป
- การว่ายน้ำ: เป็นการออกกำลังกายแบบแรงกระแทกต่ำที่ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อรอบข้อเข่า
- การบริหารกล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้า (Quadriceps): ช่วยพยุงข้อเข่าให้มั่นคงขึ้น
- การยืดกล้ามเนื้อน่องและต้นขาด้านหลัง: ช่วยลดแรงดึงที่ส่งผลต่อการโก่งของขา
ใช้อุปกรณ์พยุงเข่า
- เข็มขัดพยุงเข่า: ช่วยกระจายน้ำหนักและลดแรงกดทับบนข้อเข่า
- แผ่นรองรองเท้า: ช่วยปรับสมดุลของการยืนและเดิน
ควบคุมน้ำหนักตัว
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และควบคุมปริมาณแคลอรี
- ลดอาหารที่มีไขมันสูงและน้ำตาล
- เพิ่มการบริโภคผักและผลไม้
การประคบร้อนหรือเย็น
- ประคบเย็นเพื่อลดการอักเสบหลังการออกกำลังกาย หรือเมื่อมีอาการปวด
- ประคบร้อนเพื่อคลายกล้ามเนื้อก่อนการยืดเหยียด หรือออกกำลังกาย
การปรับเปลี่ยนกิจวัตรประจำวัน
- หลีกเลี่ยงการยืนหรือเดินเป็นเวลานาน
- ใช้ไม้เท้าหรือวอล์กเกอร์เพื่อช่วยในการทรงตัวและลดแรงกดทับบนข้อเข่า
- เลือกรองเท้าที่มีการรองรับอุ้งเท้าที่ดีและมีพื้นนุ่ม
การฝึกการทรงตัว
- ยืนขาเดียว (โดยมีที่พยุง)
- การเดินต่อเท้า
- การใช้บอลบริหาร (Stability ball) เพื่อฝึกการทรงตัว
การรักษาขาโก่งด้วยการแพทย์
สำหรับผู้ที่มีภาวะขาโก่งรุนแรง หรือไม่สามารถแก้ไขด้วยตนเองได้ การรักษาทางการแพทย์อาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสม โดยมีวิธีการดังนี้
- การใช้ยาแก้ปวดลดอักเสบ การฉีดยาเข้าข้อเข่า หรือการทำกายภาพบำบัด: สามารถช่วยลดอาการปวด ตึง ล้าที่เกิดจากเข่าโก่งให้ลดลงได้ แต่ไม่สามารถแก้ไขความโก่งให้กลับคืนมาปกติได้
- การผ่าตัดตัดกระดูกเพื่อปรับแนว (Osteotomy): เป็นการตัดกระดูกบางส่วนเพื่อปรับแนวของขาให้ตรงขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะขาโก่งไม่มาก และยังมีข้อเข่าที่แข็งแรง
- การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม: เหมาะสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะข้อเข่าเสื่อมร่วมด้วย การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมเป็นการรักษาที่ได้ผลดีที่สุดสำหรับคนไข้ข้อเข่าเสื่อมที่มีอาการรุนแรง เนื่องจากสามารถแก้ไข ปัญหาขาโก่งและแก้ไขอาการปวดจากข้อเสื่อมได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
ขาโก่งแบบไหนควรพบแพทย์
การสังเกตอาการขาโก่งในตนเอง หรือคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้สูงอายุ หรือวัยอื่นๆ เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อประเมินว่าถึงเวลาที่ควรเข้ารับการรักษาหรือไม่ โดยลักษณะของขาโก่งที่ควรพบแพทย์ มีดังนี้
- เมื่อยืนชิดขา แล้วระยะห่างระหว่างข้อเท้ามากกว่า 8 เซนติเมตร
- มีอาการปวดเข่า หรือข้อเท้าเป็นประจำ โดยเฉพาะเมื่อเดิน หรือยืนเป็นเวลานาน
- สังเกตเห็นว่าขาโก่งมากขึ้นเรื่อยๆ ในระยะเวลาไม่นาน
- มีปัญหาในการเดินหรือวิ่ง เช่น เดินสะดุดบ่อย หรือรู้สึกไม่มั่นคง เป็นต้น
- พบความผิดปกติของรูปร่างขาในเด็กอายุมากกว่า 7 ปี
แม้ว่าภาวะขาโก่งอาจไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนฉุกเฉิน แต่มีหลายกรณีที่ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนและได้รับการรักษาที่เหมาะสม โดยลักษณะของขาโก่งที่ควรพบแพทย์ มีดังนี้:
- ขาโก่งที่เพิ่งเกิดขึ้น หรือแย่ลงอย่างรวดเร็ว: อาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรง เช่น การติดเชื้อในกระดูก หรือเนื้องอก
- มีอาการปวดรุนแรงร่วมด้วย: โดยเฉพาะอาการปวดที่รบกวนการนอนหลับหรือทำกิจวัตรประจำวัน
- มีอาการบวม แดง ร้อน บริเวณขาหรือเข่า: อาจเป็นสัญญาณของการอักเสบหรือการติดเชื้อ
- มีปัญหาในการเดินหรือทรงตัว: เสี่ยงต่อการหกล้มและเกิดการบาดเจ็บ
- ขาโก่งที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต: เช่น ไม่สามารถทำกิจกรรมที่เคยทำได้ หรือรู้สึกอายจนไม่อยากออกสังคม
- มีประวัติการบาดเจ็บที่ขาหรือเข่า: แม้จะเป็นการบาดเจ็บเล็กน้อย แต่อาจส่งผลต่อการเกิดหรือทำให้ขาโก่งแย่ลง
- ขาโก่งที่เป็นมานานแต่ไม่เคยได้รับการตรวจประเมิน: ควรได้รับการตรวจเพื่อหาสาเหตุและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม
- มีความกังวลเกี่ยวกับภาวะขาโก่งของตนเอง: แม้จะไม่มีอาการรุนแรง แต่หากมีความกังวล ควรปรึกษาแพทย์เพื่อความสบายใจ
การพบแพทย์แต่เนิ่นๆ จะช่วยให้ได้รับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม ซึ่งอาจช่วยชะลอการดำเนินของโรคและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ นอกจากนี้ การตรวจสุขภาพประจำปีก็เป็นโอกาสที่ดีในการประเมินสุขภาพของกระดูกและข้อ รวมถึงการตรวจคัดกรองภาวะขาโก่งในระยะเริ่มต้น
นัดหมายแพทย์เพื่อปรึกษา และวินิจฉัยอาการได้ที่ 02-080-8999
Line @kdmshospital
การมาตรวจประเมินและรับคำแนะนำ เพื่อรักษาภาวะขาโก่งที่โรงพยาบาลเฉพาะทางกระดูกและข้อ kdms Hospital มีข้อดีอย่างไร
ที่โรงพยาบาล kdms Hospital พร้อมให้บริการรักษาภาวะขาโก่งแบบครบวงจร
- มีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางและเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย
- บริการของเรามีตั้งแต่การตรวจวินิจฉัยด้วยเครื่องมือที่แม่นยำ
- การวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย
- การผ่าตัดโดยทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์สูง
- การให้บริการกายภาพบำบัดหลังการรักษาเพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพได้อย่างรวดเร็ว
- นอกจากนี้ เรายังมีบริการให้คำปรึกษาและติดตามผลการรักษาอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ป่วยจะได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดตลอดกระบวนการรักษา
สรุป
ขาโก่งในผู้สูงอายุเป็นปัญหาสุขภาพที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก แต่ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องและการดูแลรักษาที่เหมาะสม ผู้สูงอายุสามารถบรรเทาอาการและป้องกันไม่ให้อาการแย่ลงได้ สาเหตุหลักของขาโก่งในผู้สูงอายุมักเกิดจากโรคข้อเข่าเสื่อม การขาดวิตามินดี หรือโรคกระดูกบางชนิด ซึ่งล้วนส่งผลต่อโครงสร้างของกระดูกและข้อต่อ
การรักษาภาวะขาโก่งมีทั้งวิธีการรักษาด้วยตนเองและการรักษาทางการแพทย์ วิธีการรักษาด้วยตนเอง เช่น การออกกำลังกายที่เหมาะสม การควบคุมน้ำหนัก และการใช้อุปกรณ์ช่วยพยุง สามารถช่วยบรรเทาอาการและชะลอการดำเนินของโรคได้ ในขณะที่การรักษาทางการแพทย์ ตั้งแต่การทำกายภาพบำบัด การใช้ยา ไปจนถึงการผ่าตัด จะช่วยแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุดมากขึ้น
สำหรับผู้ที่มีอาการรุนแรง หรือไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบอนุรักษนิยม การผ่าตัดอาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่โรงพยาบาล kdms ซึ่งมีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและเทคโนโลยีทันสมัย สามารถให้การรักษาที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย
สิ่งสำคัญที่สุดคือการตระหนักถึงปัญหาและพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ การดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ ทั้งการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกายที่เหมาะสม และการพบแพทย์ตามนัด จะช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถจัดการกับภาวะขาโก่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาว
บทความโดย นพ.ณพล สินธุวนิช ศัลยแพทย์ชำนาญการด้านการผ่าตัดข้อเข่าและข้อสะโพกเทียม