โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ อาการผิดปกติตามข้อต่อ พร้อมแนวทางรักษา

โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ อาการผิดปกติตามข้อต่อ พร้อมแนวทางรักษา
Key Takeaway

  • โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ คือ โรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งส่งผลให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายโจมตีเนื้อเยื่อตนเอง โดยมักส่งผลกระทบที่บริเวณข้อต่อเป็นหลัก
  • อาการรูมาตอยด์ โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์มักเริ่มต้นด้วยอาการปวดข้อ โดยลักษณะอาการปวดมักเป็นแบบสมมาตร เริ่มจากข้อเล็ก ๆ เช่น ข้อมือหรือข้อนิ้วมือ ก่อนลุกลามไปยังข้อต่อที่ขนาดใหญ่ขึ้นในระยะต่อมา โดยเริ่มจากอาการข้อฝืด ตึง หรือขัด ในช่วงเช้าหลังตื่นนอน
  • การรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ มุ่งเน้นการควบคุมอาการและป้องกันความเสียหายของข้อ โดยใช้ยาปรับเปลี่ยนการดำเนินโรค หรือ DMARDs (Disease-Modifying Anti-Rheumatic Drugs) ควบคุมการทำงานที่ผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน ร่วมกับการทำกายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูการเคลื่อนไหวของข้อ และการผ่าตัดในกรณีที่จำเป็น
  • โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ รักษาที่ kdms Hospital ผู้ป่วยจะได้รับการดูแลจากทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ พร้อมเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยและการดูแลใกล้ชิด เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงสุดและตอบโจทย์ความต้องการของผู้ป่วยแต่ละราย

อาการปวดตามข้อต่อไม่ควรมองข้าม อาจเป็นสัญญาณเตือนโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์! มาทำความรู้จักว่าโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์คืออะไร พร้อมเผยสาเหตุของโรค วิธีสังเกตอาการตั้งแต่ระยะเริ่มต้น พร้อมแนวทางการรักษา หาคำตอบได้ในบทความนี้

 โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ คืออะไร

โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ คืออะไร

โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ คือโรคภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง โดยมีลักษณะเด่นคือมักจะทำลายบริเวณข้อเป็นหลัก แต่ในผู้ป่วยบางรายก็ยังพบว่ามีการทำลายอวัยวะส่วนอื่นๆ ได้ด้วยเช่นกัน ผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์มักมีอาการปวดข้อ ในลักษณะสมมาตรกัน เช่น หากปวดบริเวณมือ ก็จะปวดทั้งสองข้างเหมือนกัน ปวดบริเวณข้อนิ้ว ก็จะรู้สึกปวดทั้งสองข้างเช่นเดียวกัน

โดยทั่วไปแล้ว พบว่าคนไทยเป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ประมาณ 0.3% – 1% ของประชากรทั่วไป มักพบได้ในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 1 ถึง 3 เท่า โดยเชื่อว่าเกิดจากผลของฮอร์โมนเอสโตรเจนที่พบได้ในผู้หญิง ส่งผลกับการอักเสบ

โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เกิดจากอะไร

แพทย์ได้อธิบายว่าโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์เกิดจาก 2 ปัจจัยหลักรวมกันคือ พันธุกรรมที่มีมาตั้งแต่กำเนิด และปัจจัยแวดล้อมที่เป็นตัวกระตุ้น โดยมีรายละเอียดดังนี้

พันธุกรรม 

นับว่าเป็นแม่กุญแจหลักของการเกิดโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โดยพันธุกรรมในตัวเราตั้งแต่กำเนิดที่มีชื่อว่า HLA-DR4 เป็นพันธุกรรมที่เกี่ยวมีส่วนทำให้เกิดโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ได้หากถูกกระตุ้นโดยปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ 

ปัจจัยแวดล้อม

ปัจจัยแวดล้อม เป็นลูกกุญแจที่เข้าไปกระตุ้นให้ HLA-DR4 ทำงานผิดปกติ โดยมีปัจจัยที่พบบ่อย 3 ปัจจัย คือ

  1. บุหรี่ คือปัจจัยแวดล้อมที่กระตุ้นเนื้อเยื่อบุทางเดินหายใจ เมื่อเนื้อเยื่อถูกทำลาย เซลล์บริเวณนั้นจะปล่อยโปรตีนออกมา เมื่อโปรตีนเข้าไปสัมผัสกับภูมิคุ้มกันของร่างกาย จึงทำให้เกิดภูมิคุ้มกันต่อเยื่อบุข้อขึ้นมา
  2. เหงือกและฟัน การติดเชื้อแบคทีเรีย (Porphyromonas gingivalis) บริเวณเหงือกและฟันเกิด กระตุ้นการสร้างโปรตีน (citrullination) ทำให้บริเวณนั้นเกิดการอักเสบ ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ
  3. ลำไส้ การขาดสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ ส่งผลให้ลำไส้อักเสบ และหากปล่อยไว้เป็นเวลานานจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ได้

เมื่อปัจจัยแวดล้อมรวมกับพันธุกรรม HLA-DR4 กระตุ้นการสร้างโปรตีน (citrullination) ที่ผิดปกติ ทำให้เกิดภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ จากนั้นภูมิคุ้มกันก็จะเข้าไปทำลายเยื่อบุข้อในร่างกาย เกิดเป็นโรคที่เรียกกันว่า โรครูมาตอยด์ นั่นเอง

สังเกตอาการโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์

สังเกตอาการโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ 

อาการรูมาตอยด์ระยะเริ่มต้น ผู้ป่วยมักจะรู้สึกตึง ปวด บวม บริเวณข้อรยางค์ โดยเฉพาะข้อเล็กๆ เช่น ข้อโคนและข้อกลางของนิ้วมือ ข้อนิ้วเท้า และข้อมือ 

อาการรูมาตอยด์ระยะต่อมา อาการปวดจะเริ่มขยับเข้าใกล้แกนกลางของลำตัว เช่น ข้อไหล่ ข้อเข่า และกระดูกสันหลังบริเวณคอ ทั้งนี้ อาการปวดบริเวณนี้สามารถเกิดในระยะแรกกับผู้ป่วยบางรายได้ด้วยเช่นกัน แต่มักไม่พบอาการปวดตรงกระดูกสันหลัง หรือกระดูกสะโพก

อีกหนึ่งอาการรูมาตอยด์ที่สังเกตได้ชัดคือ ฝืด ตึง หรือขัดบริเวณข้อในตอนเช้า เพราะหากข้ออักเสบที่หยุดการใช้งานเป็นเวลานาน ซึ่งช่วงที่นอนหลับจะเป็นเวลาที่ข้อเราพักการใช้งานนานที่สุด ทำให้การกลับมาใช้งานใหม่ในตอนเช้าจะรู้สึกฝืด ตึง ขัดได้ และมักจะกินเวลามากกว่า 1 ชั่วโมงจึงจะกลับมาใช้งานตามปกติได้ โดยสังเกตได้ว่าอาการฝืดตึงสามารถพบได้เช่นกันในโรคข้อเสื่อม แต่ระยะเวลาของอาการจะต่างกัน โดยข้อเสื่อมจะใช้เวลาไม่เกิน 30 นาทีก็กลับมาใช้งานได้ตามปกติแล้ว

นัดหมายแพทย์เพื่อปรึกษา และวินิจฉัยอาการได้ที่ 02-080-8999
Line @kdmshospital

https://lin.ee/PkZ8mk9

โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ อันตราย! หากไม่รีบรักษา

หากปล่อยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ไว้ไม่รักษาอาจมีอาการที่อวัยวะอื่นร่วมด้วยได้ เช่นอาการทางปอด ไม่ว่าจะเป็นพังผืดที่ปอด ปอดอักเสบ รวมถึงอาการทางตา เช่น ตาแห้ง ตาแดง ตุ่มนูนที่เยื่อบุตาขาว และตาขาวอักเสบ รวมถึงภาวะซีดเรื้อรัง ต่อมน้ำเหลืองโต และเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ

ความเสี่ยงอื่นๆ จากโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์

โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ยังเพิ่มความเสี่ยงของโรคอื่นๆ ได้ด้วย เนื่องจากอาการอักเสบที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดโรคร่วม ไม่ว่าจะเป็นไขมันโลหิตสูง ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดหัวใจตีบ หลอดเลือดในสมองตีบ โรคกระดูกพรุน และเพิ่มความเสี่ยงการเกิดมะเร็งได้

วินิจฉัยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ทำได้อย่างไร

แพทย์มีการวินิจฉัยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ได้ด้วยแนวทางการวินิจฉัยหลัก ดังนี้

  • การซักประวัติ โดยแพทย์จะมีสอบถามเกี่ยวกับอาการบ่งชี้ของโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ที่พบบ่อย เช่น ปวดบวมข้อ ตึงข้อในตอนเช้า (Morning Stiffness) ปวดสมมาตร และผู้ป่วยบางรายอาจมีไข้ น้ำหนักลด หรืออ่อนเพลีย
  • ตรวจร่างกาย โดยแพทย์จะตรวจตามตำแหน่งที่รู้สึกปวด ว่ามีอาการบวม แดง กดเจ็บหรือไม่ และหากผู้ป่วยรู้สึกปวดเรื้อรังมาเป็นเวลานาน บริเวณที่ปวดอาจมีอาการผิดรูปให้เห็นได้
  • ตรวจห้องปฏิบัติการ แพทย์จะตรวจเลือดดูภูมิคุ้มกันเกี่ยวกับโรครูมาตอยด์ เช่น Rheumatoid Factor, Anti-CCP รวมถึงการตรวจค่าการอักเสบร่วมด้วย จากนั้นแพทย์จะนำผลตรวจเหล่านี้ไปแปลผลอีกครั้งเพื่อเพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัย
  • การใช้ภาพถ่ายรังสี หากผู้ป่วยรู้สึกปวดเรื้อรังเกิน 6 เดือนขึ้นไป จะมีการ X-Ray บริเวณข้อที่มีอาการ เพื่อช่วยในการวินิจฉัย รวมทั้งการทำคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) หรือการตรวจอัลตราซาวด์บริเวณตำแหน่งข้อ เพื่อดูว่ามีการอักเสบของเยื่อบุข้อ หรือมีของเหลวในข้อหรือไม่

แนวทางการรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์

แนวทางการรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ 

แนวทางการรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์มีเป้าหมายเพื่อควบคุมการอักเสบ และลดความเสียหายของข้อต่อ บรรเทาอาการปวดให้กับผู้ป่วย และช่วยให้กลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ โดยหลักที่มักจะทำร่วมกัน 3 วิธี ได้แก่

การใช้ยา

รักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์โดยการใช้ยา มีจุดมุ่งหมายเพื่อหยุดการทำงานผิดปกติของภูมิคุ้มกัน ป้องกันไม่ให้ภูมิคุ้มกันที่ทำงานผิดปกติไปทำลายส่วนอื่นๆ ของร่างกาย โดยแพทย์จะจ่ายยา DMARDs เป็นยาปรับเปลี่ยนการดำเนินโรค มีส่วนช่วยลดการอักเสบ โดยเวลาในการออกฤทธิ์ของยาเฉลี่ยจะอยู่ที่ 4-6 สัปดาห์ จึงจะสามารถประเมินการตอบสนองต่อการรักษาได้

ในระหว่างที่ยา DMARDs ยังไม่ออกฤทธิ์เต็มประสิทธิภาพ ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดตามข้อได้ แพทย์จึงพิจารณาจ่ายยาบรรเทาอาการอักเสบ ไม่ว่าจะเป็นยาบรรเทาอาการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) และยาบรรเทาอาการอักเสบใช้สเตียรอยด์ ช่วยลดปวดให้เร็วกว่า 4-6 สัปดาห์ ใช้เพื่อประคองอาการปวดจนกว่ายา DMARDs จะเริ่มออกฤทธิ์เต็มที่

การผ่าตัด

แพทย์จะพิจารณาผ่าตัดเพื่อรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ร่วมกับการกินยาในกรณีที่คนไข้ข้อต่อเสียหาย ข้อต่อผิดรูปรุนแรง ไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติได้ หรือรู้สึกปวดมากจนใช้ชีวิตไม่ได้

การทำกายภาพบำบัด

โดยทั่วไปแล้ว การทำกายภาพบำบัดจะทำควบคู่ไปกับการกินยารักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โดยจะมุ่งเน้นไปที่การยืดเหยียดกล้ามเนื้อ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อบริเวณที่ได้รับความเสียหาย หรือรู้สึกปวด

ป้องกันโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ทำได้อย่างไรบ้าง

ป้องกันโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ทำได้อย่างไรบ้าง

มีหลายปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ทั้งพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม ทำให้ไม่สามารถป้องกัน 100% ได้ แต่ก็มีแนวทางการป้องกันที่แพทย์แนะนำเพื่อลดโอกาสเกิดของโรค ดังนี้

  • งดสูบบุหรี่ ช่วยลดโอกาสเกิดการสร้างภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติซึ่งเป็นตัวหลักในการเกิดโรค
  • หมั่นดูแลสุขภาพช่องปาก เพราะโรคปริทันต์กระตุ้นการอักเสบของโรคได้
  • รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เพราะคนที่ BMI เกิน 30 มีไขมันสะสม ทำให้เกิดข้ออักเสบ และยังกระตุ้นให้เกิดการอักเสบในร่างกายได้ด้วยเช่นกัน
  • กินอาหารที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ อาหารที่ลดโอกาสเกิดโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เช่น ปลาที่มีโอเมกา 3 ผัก ผลไม้ พืช ธัญพืชไม่ขัดสี ถั่ว เป็นต้น
  • หลีกเลี่ยงการติดเชื้อไวรัส ล้างมือบ่อยๆ ลดโอกาสเกิดการอักเสบ

โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ รักษาที่ kdms Hospital ดีอย่างไร

รักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ที่ kdms Hospital ดีอย่างไร? ที่นี่เป็นโรงพยาบาลกระดูกและข้อที่มีจุดเด่นด้านการรักษามากมาย ไม่ว่าจะเป็น

  • ทีมแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง โดยเฉพาะโรคข้อและรูมาติสซั่ม ที่มีประสบการณ์
  • วินิจฉัยแม่นยำ รวดเร็ว เพราะมีการตรวจเลือดอย่างละเอียด ถ่ายภาพรังสีขั้นสูง ทั้งการทำ MRI และ X-Ray ที่ทำให้วินิจฉัยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ได้ตั้งแต่ระยะแรก
  • มียารักษาสำหรับโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ครบครัน
  • มีการติดตามผล และปรับแผนการรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ได้อย่างใกล้ชิด
  • มีการดูแลแบบองค์รวม ประสานงานกับแพทย์โรคต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับโรครูมาตอยด์ได้ เช่น แพทย์ศัลยกรรมกระดูก แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู เป็นต้น

นัดหมายแพทย์เพื่อปรึกษา และวินิจฉัยอาการได้ที่ 02-080-8999
Line @kdmshospital

https://lin.ee/PkZ8mk9

สรุป

โรครูมาตอยด์ คือโรคที่เกิดจากภูมิคุ้มกันทำงานอย่างผิดปกติ ทำให้ตัวภูมิคุ้มกันเข้าไปทำลายตัวเอง โดยอาการมักจะเริ่มจากบริเวณข้อเป็นหลัก ผู้ป่วยมักจะรู้สึกถึงอาการรูมาตอยด์ไม่ว่าจะเป็นปวดข้อในลักษณะสมมาตร อาการบวมบริเวณที่ปวด รวมทั้งฝืด ตึง หรือขัดบริเวณข้อในตอนเช้า หลังจากวินิจฉัยแล้ว แพทย์จะจ่ายยา DMARDs เพื่อลดการอักเสบ และพิจารณารักษาควบคู่ไปกับการทำกายภาพบำบัด และผ่าตัดหากจำเป็น

บทความโดย พญ.อักษิกา สาลิง แพทย์เฉพาะทางด้านอายุรศาสตร์โรคข้อและรูมาติสซั่ม

อังคาร, 24 ธ.ค. 2024
แพทย์ที่เกี่ยวข้อง

แพ็กเกจและโปรโมชั่นที่เกี่ยวข้อง
บทความอื่นๆ
รวมอาหารที่ห้ามกินสำหรับโรครูมาตอยด์ พร้อมวิธีดูแลตัวเองที่ถูกต้อง
รวมอาหารที่ห้ามกินสำหรับโรครูมาตอยด์ พร้อมวิธีดูแลตัวเองที่ถูกต้อง
โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ อาการผิดปกติตามข้อต่อ พร้อมแนวทางรักษา
โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ อาการผิดปกติตามข้อต่อ พร้อมแนวทางรักษา
top line line