Health Articles /

ข้อเข่าอักเสบ ปัญหารบกวนที่เกิดจากโรคข้อเข่าเสื่อม

“ข้อเข่า” เป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่หลักในการรองรับน้ำหนักของร่างกายที่กดทับลงมาอยู่เกือบตลอดเวลา เช่น การนั่ง การยืน หรือการเดิน ดังนั้น เมื่อเกิดความผิดปกติขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้อเข่าอักเสบ ข้อเข่าอักเสบ หรือกระดูกอ่อนข้อเข่าอักเสบ ล้วนส่งผลให้เกิดความเจ็บปวดและขัดขวางการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น อาการขัดเมื่อปรับเปลี่ยนท่าทาง หรือความรู้สึกเจ็บตึงที่ข้อเข่า เป็นต้น นอกจากนี้ ความผิดปกติดังกล่าว อาจเป็นสัญญาณเตือนระยะแรกของโรคข้อเข่าเสื่อมที่มักเกิดขึ้นกับผู้สูงอายุอีกด้วย

Table of Contents

ข้อเข่าอักเสบ คืออะไร?

ข้อเข่าอักเสบ ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในอาการของโรคข้อเข่าเสื่อม กล่าวคือ เมื่อข้อเข่าถูกใช้งานอย่างหนักติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน จึงส่งผลให้กระดูกอ่อนข้อเข่าที่ทำหน้าที่รองรับน้ำหนักของร่างกายบาดเจ็บ ซึ่งอาจเกิดจากการเสียดสีหรือการสึกหรอตามช่วงวัย ทำให้ร่างกายเกิดกระบวนการอักเสบขึ้นเพื่อตอบสนองต่อเนื้อเยื่อที่เสียหาย โดยการลำเลียงเลือดและเซลล์เม็ดเลือดขาวมายังบริเวณข้อเข่า ก่อให้เกิดการสะสมของเซลล์อักเสบ และกระตุ้นให้เยื่อบุข้อเข่าสร้างของเสียที่มีคุณสมบัติเป็นของเหลวออกมามากขึ้น ส่งผลให้ข้อเข่าเกิดอาการบวมแดง มีลักษณะตึงคล้ายลูกโป่งที่เต็มไปด้วยน้ำ และทำให้บริเวณข้อเข่ามีอุณหภูมิสูงขึ้น ซึ่งทำให้ผู้ป่วยรู้สึกตึงเมื่อเคลื่อนไหวข้อเข่า นอกจากนี้ กระดูกอ่อนข้อเข่าอักเสบ สามารถเกิดจากปัจจัยอื่น ๆ ที่ทำให้เนื้อเยื่อบริเวณข้อเข่าเกิดการบาดเจ็บ เช่น อุบัติเหตุ การติดเชื้อโรค การอักเสบที่เกิดจากโรคกลุ่มภูมิแพ้ตัวเอง (Autoimmune Disease) และการถูกกระตุ้นให้เกิดการอักเสบจากการสะสมกรดยูริกที่ตกตะกอนเป็นผลึกในข้อของผู้ป่วยโรคเกาต์ เป็นต้น และถ้าหากเกิดการอักเสบขึ้นที่บริเวณเดิมบ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการรักษาไม่หายขาด หรือปล่อยให้เกิดการอักเสบไว้นาน ก็สามารถส่งผลให้เนื้อเยื่อหรือกระดูกอ่อนปกติถูกทำลายไปเรื่อยๆได้

อ่านบทความโรคข้อเข่าเสื่อมเพิ่มเติมที่ : https://kdmshospital.com/article/knee-ostoearthritis/

อาการปวดเข่าเกิดได้จากหลายสาเหตุ

อาการปวดบริเวณเข่าสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น เส้นเอ็นกล้ามเนื้อเข่าอักเสบ กระดูกอ่อนข้อเข่าอักเสบ หมอนรองกระดูกอักเสบ หรือภาวะข้อเข่าเสื่อม เป็นต้น โดยส่วนใหญ่อาการปวดเข่ามักมีปัจจัยหลักมาจากอุบัติเหตุ หรือการกระทบกระเทือนจากการทำกิจวัตรประจำวัน ซึ่งความผิดปกติดังกล่าวอาจจะรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันได้ โดยสาเหตุที่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดบริเวณเข่า มีดังนี้

เส้นเอ็น

เส้นเอ็นเข่าอักเสบ เกิดจากการบาดเจ็บของเส้นเอ็นในเข่าและนอกเข่า มักมีปัจจัยมาจากอุบัติเหตุหรือการเล่นกีฬาบางชนิด ส่งผลให้เกิดความรู้สึกเจ็บในตำแหน่งของเส้นเอ็นนั้น ๆ จนทำให้รบกวนการใช้ชีวิตประจำวันหรือไม่สามารถขยับขาได้อย่างปกติ เช่น เส้นเอ็นไขว้หน้าฉีกขาดในนักฟุตบอล ทำให้เข่าหลวมหรือไม่มั่นคง ส่งผลให้ร่างกายเอนเอียงไปมาเวลาเปลี่ยนท่าทาง หรือรู้สึกเหมือนจะทรุดและล้มเวลาเดิน หากไม่ได้รับการรักษาหรือผ่าตัดเพื่อซ่อมแซมเส้นเอ็นดังกล่าว จะทำให้ไม่สามารถเล่นกีฬาที่ต้องวิ่งหรือปรับเปลี่ยนทิศทางแบบทันทีทันใดได้

กระดูกอ่อน

กระดูกอ่อนบริเวณข้อเข่าโดยปกติมีผิวสัมผัสเรียบลื่น เพื่อทำให้ร่างกายสามารถขยับข้อต่อได้อย่างอิสระและเป็นธรรมชาติในอิริยาบถต่าง ๆ ดังนั้น เมื่อเกิดอาการกระดูกอ่อนข้อเข่าอักเสบ ซึ่งมีสาเหตุมาจากการบาดเจ็บ อุบัติเหตุทางรถยนต์ เล่นกีฬา เข่าพลิก หรือกระดูกอ่อนเสียหายและสึกหรอจากการใช้งานเข่ามาเป็นระยะเวลานานในผู้สูงวัย จะส่งผลให้ผิวข้อเกิดการเสียดสีกันมากขึ้น ทำให้เคลื่อนไหวได้ยากขึ้น ซึ่งนำไปสู่การฉีกขาดของเนื้อเยื่อ และก่อให้เกิดความรู้สึกเจ็บข้อเข่าได้

หมอนรองกระดูก

หมอนรองกระดูกข้อเข่า คือ เนื้อเยื่อรูปร่างคล้ายวงแหวนทำหน้าที่หลักในการกระจายน้ำหนักที่ส่งผ่านจากกระดูกต้นขาลงมายังหน้าแข้ง เพื่อป้องกันไม่ให้กระดูกทั้งสองชิ้นเกิดการชนและเสียดสีกันโดยตรง โดยอาการบาดเจ็บหรือการฉีกขาดในหมอนรองกระดูกมักเกิดจากสองปัจจัยหลัก คือ การฉีกขาดจากการเล่นกีฬา หรือการใช้งานมาเป็นระยะเวลานานจนเกิดการสึกหรอตามช่วงวัย

ภาวะข้อเข่าเสื่อม  

ภาวะข้อเข่าเสื่อมหรือโรคข้อเข่าเสื่อม สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น การใช้งานข้อเข่าอย่างหนัก การมีน้ำหนักตัวที่มากขึ้นหรือเกินมาตรฐาน ทำให้ในขณะที่ใช้งานข้อเข่า อย่างเช่น การยืนหรือเดินลงน้ำหนัก จะรู้สึกเจ็บขัด หรือเสียวบริเวณข้อเข่า ถ้าหากทิ้งไว้นานหรือไม่ได้รับการรักษา สามารถส่งผลให้เกิดปัญหาเหยียดงอเข่าได้ไม่สุด หรือขาโก่งผิดรูปร่างได้

วิธีสังเกตอาการของข้อเข่าอักเสบเบื้องต้น

เมื่อเกิดการบาดเจ็บบริเวณข้อเข่า เช่น เส้นเอ็นเข่าหรือกล้ามเนื้อฉีกขาด จะก่อให้เกิดอาการปวดและบวมโดยรอบ กล่าวคือ เมื่อข้อเข่าเกิดการอักเสบ จะส่งผลให้ร่างกายลำเลียงเลือดและเซลล์เม็ดเลือดขาวมายังบริเวณดังกล่าว ทำให้เกิดการสะสมของเซลล์อักเสบมากขึ้น และกระตุ้นให้เยื่อบุข้อเข่าสร้างของเสียที่มีสถานะเป็นของเหลวออกมา ทำให้เข่าเกิดอาการบวมจนคล้ายลูกโป่ง ซึ่งเมื่อขยับจะรู้สึกตึงบริเวณข้อเข่า หรือสามารถสังเกตเห็นอาการแดง และรอยกระดูกที่มีลักษณะบุ๋มของบริเวณข้อเข่าหายไป นอกจากนี้ สามารถสังเกตได้โดยการวางมือลงบนข้อเข่าข้างที่บวมและข้างที่เป็นปกติเพื่อเปรียบเทียบกัน จะพบว่าบริเวณที่เกิดการอักเสบมีอุณหภูมิสูงกว่า 

กลุ่มที่เสี่ยงเป็นข้อเข่าอักเสบได้ง่าย

กลุ่มบุคคลที่มีความเสี่ยงในการเป็นข้อเข่าอักเสบได้ง่ายกว่าคนทั่วไป มีดังต่อไปนี้

  • กลุ่มคนที่มีปัจจัยทางร่างกายที่ส่งผลให้เกิดการใช้ข้อเข่ามากกว่าคนทั่วไป เช่น คนที่มีน้ำหนักตัวเกินค่ามาตรฐาน หรือคนที่มีภาวะเท้าแบน (Flat Feet)
  • กลุ่มคนที่มีกิจวัตรประจำวันที่ก่อให้เกิดแรงกดที่ข้อเข่า เช่น คนที่ต้องยกของหนักเป็นประจำ หรือคนที่จำเป็นต้องขึ้นลงบันไดวันละหลายครั้ง
  • กลุ่มนักกีฬาบางชนิดที่มีการกระแทกบ่อยครั้งหรือสามารถส่งผลให้เกิดอาการบาดเจ็บบริเวณเข่าได้ เช่น นักกีฬายกน้ำหนัก นักกีฬาฟุตบอล หรือนักกีฬาบาสเกตบอล
  • กลุ่มผู้ที่มีโรคประจำตัว ที่ก่อให้เกิดการอักเสบของข้อเข่า เช่น โรคเกาต์ที่ส่งผลให้เกิดผลึกยูริกตกตะกอนในข้อ โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ และโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (SLE -Systemic Lupus Erythematosus)

แนวทางการรักษาอาการข้อเข่าอักเสบ

แนวทางในการรักษาอาการอักเสบของข้อเข่า สามารถทำได้หลายวิธีทั้งแบบไม่ผ่าตัดหรือการผ่าตัด รวมไปถึงการรักษาด้วยการทำกายภาพบำบัด โดยแพทย์จะเลือกใช้วิธีในการรักษาผู้ป่วยแต่ละคนแตกต่างกันออกไป ซึ่งขึ้นอยู่กับสาเหตุหรือปัจจัยที่ก่อให้เกิดการอักเสบ

วิธีการรักษาแบบไม่ต้องผ่าตัด

การรักษาข้อเข่าอักเสบโดยวิธีการรักษาแบบไม่ผ่าตัดนั้น ถือเป็นขั้นตอนแรกในการรักษา โดยมีจุดประสงค์หลัก คือ การลดอาการกล้ามเนื้อเข่าอักเสบหรือกระดูกอ่อนข้อเข่าอักเสบ ส่วนใหญ่มักใช้การรักษาแบบไม่ผ่าตัดกับผู้ที่มีอาการข้อเข่าอักเสบระยะเริ่มต้น ที่มีอาการไม่รุนแรงมาก หรือในผู้ที่อาการอักเสบไม่สามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัด อย่างเช่น ในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (SLE -Systemic Lupus Erythematosus) ซึ่งการอักเสบของเนื้อเยื่อหรือกระดูกอ่อนข้อเข่านั้นเกิดจากระบบภูมิคุ้มกันที่ทำงานผิดปกติได้ไปทำร้ายเนื้อเยื่อที่ปกติของตนเอง ซึ่งวิธีการรักษาแบบผ่าตัดจะไม่สามารถช่วยในการรักษาได้ เป็นต้น

การรักษาโดยไม่ผ่าตัดสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การรับประทานยาเพื่อลดการอักเสบ เมื่อทานเข้าไปแล้วยาจะเข้าไปตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และออกฤทธิ์เพื่อบรรเทาอาการปวด หรือการฉีดยาเข้าโดยตรงที่ตำแหน่งอักเสบ เช่น การฉีดสเตียรอยด์เข้าข้อเข่า หรือตำแหน่งรอบเส้นเอ็นที่อักเสบ ซึ่งจะได้ผลเร็วกว่าแบบรับประทาน เพราะเป็นการฉีดยาเข้าไปยังจุดที่ต้องการรักษาโดยตรง ทำให้ออกฤทธิ์ยับยั้งการอักเสบได้ในทันที ทั้งนี้ การจะรับประทานยาหรือฉีดยานั้นจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการผู้ป่วยและดุลยพินิจของแพทย์ นอกจากนี้ ยังสามารถรักษาอาการปวดหรือบวมของข้อเข่าได้ โดยการประคบเย็นบริเวณที่บวมแดงเป็นเวลา 24-72 ชั่วโมงแรก แต่ในกรณีที่มีการอักเสบเรื้อรังควรประคบอุ่ หลังจากวันที่ 3-4 ขึ้นไป เมื่ออาการบวม แดง และร้อนลดลงแล้ว รวมไปถึง งดการใช้งาน และควรยกขาให้สูง เช่น การนอนโดยการเอาหมอนรองใต้เข่า เพื่อไม่ให้เลือดลงไปเลี้ยงเข่ามาก ซึ่งจะช่วยให้อาการบวมลดลงเร็วขึ้น และสิ่งที่ทุกคนควรทำเมื่อมีอาการเจ็บเข่าเรื้อรังโรคข้อเข่าเสื่อมคือ การลดน้ำหนักตัวลง โดยการลดน้ำหนักลงร้อยละ 5 ของน้ำหนักเดิมตอนที่มีอาการปวดเข่า จะช่วยให้โอกาสในการเกิดข้อเข่าอักเสบลดลงและอาการต่าง ๆ จากโรคดีขึ้นตามมา นอกจากนั้น ผู้ป่วยยังควรหลีกเลี่ยงการใช้งานข้อเข่าที่มีการอักเสบเพื่อไม่ให้ข้อเข่าที่อักเสบถูกกระตุ้นและมีอาการรุนแรงมากขึ้น เพราะการพักการใช้งานข้อเข่าจะทำให้การอักเสบสงบลงได้รวดเร็วขึ้นอีกด้วย

วิธีการรักษาแบบกายภาพบำบัด  

การทำกายภาพบำบัด คือ การใช้พลังงานจากภายนอก เช่น ความร้อน คลื่นเสียง หรือ เลเซอร์ เพื่อช่วยลดการอักเสบของส่วนต่าง ๆ ภายในร่างกาย และเสริมให้การรักษาอาการอักเสบดียิ่งขึ้น โดยสามารถทำกายภาพบำบัดร่วมกับการรักษาแบบอื่นควบคู่กันได้ เช่น การรับประทานยา โดยตัวอย่างการทำกายภาพบำบัดเพื่อลดอาการข้อเข่าอักเสบ มีดังนี้

วิธีการดัดดึงข้อต่อ (Mobilization)

วิธีการดัดดึงข้อต่อ (Mobilization) เป็นหนึ่งในการทำกายภาพบำบัดด้วยมือ เพื่อช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น และความผ่อนคลายให้แก่กล้ามเนื้อ รวมไปถึง ลดความเจ็บปวดของผู้ป่วย ซึ่งการทำกายภาพบำบัดด้วยวิธีดังกล่าว มักใช้กับผู้ป่วยที่มีปัญหาเนื้อเยื่อตึง หรือข้อติด โดยหลังจากที่พิจารณากระดูกและข้อต่อแล้ว นักกายภาพมักใช้วิธีการบิด ดึง หรือดันส่วนกระดูกและข้อต่อของผู้ป่วยให้กลับเข้าตำแหน่งเดิมอย่างช้า ๆ ซึ่งจะช่วยลดความตึงของเนื้อเยื่อโดยรอบของข้อต่อ และจัดกระดูกให้อยู่ในแนวมากขึ้น

วิธีการรักษาด้วยคลื่นอัลตราซาวนด์ (Ultrasound Therapy)

วิธีการทำกายภาพบำบัดด้วยคลื่นอัลตราซาวนด์ คือ การรักษาด้วยการส่งคลื่นเสียงความถี่สูง (1-3 Hz) ผ่านตัวกลางอย่างเจลอัลตราซาวนด์เข้าไปยังเนื้อเยื่อเพื่อลดอาการอักเสบ กล่าวคือ เป็นการใช้คลื่นความร้อนเข้าไปรักษาในชั้นกล้ามเนื้อและกระดูก โดยส่งผลให้เกิดความร้อนขึ้นภายในเนื้อเยื่อ ช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิต และขับของเสีย รวมไปถึง กระตุ้นการหลั่งสารลดปวด และลดอักเสบ ซึ่งมีส่วนช่วยในการลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ นอกจากนี้ ยังช่วยเร่งปฏิกิริยาในการซ่อมแซมของเนื้อเยื่อ ทำให้การอักเสบหายได้เร็วขึ้น ทั้งนี้ ไม่ควรใช้การบำบัดด้วยคลื่นอัลตราซาวนด์กับบริเวณที่มีแผลเปิดหรือเลือดออก และบริเวณท้องหรือหลังในสตรีมีครรภ์ รวมไปถึง บริเวณใกล้กับเครื่องกระตุ้นหัวใจ

วิธีการรักษาด้วยเลเซอร์กำลังสูง (High Power Laser Therapy)

วิธีการรักษาด้วยเลเซอร์กำลังสูง คือ การใช้เครื่องเลเซอร์กำลังสูง (High Power Laser; HPL) ยิงแสงเลเซอร์ที่มีความยาวคลื่นสม่ำเสมอที่ 980 นาโนเมตร และมีทิศทางแน่นอนลงไปยังชั้นผิวหนังหรือเนื้อเยื่อที่ความลึกประมาณ 5-10 เซนติเมตร เพื่อทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางชีวภาพของเนื้อเยื่อ (Biological Effect) ใช้เพื่อรักษาอาการปวดจากโรคของระบบกล้ามเนื้อ กระดูกและข้อต่อ กล่าวคือ แสงจะเข้าไปกระตุ้นให้เซลล์ของร่างกายหลั่งสารลดปวดและลดการอักเสบ รวมไปถึงเซลล์ได้กักเก็บพลังงานจากแสงไว้ เพื่อใช้ในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อในส่วนนั้น ๆ ตามธรรมชาติอีกด้วย

วิธีการรักษาแบบผ่าตัด

ในการรักษาข้อเข่าอักเสบด้วยวิธีการผ่าตัด สามารถใช้วิธีการผ่าตัดที่มีความแตกต่างกันออกไปได้ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับสาเหตุของการอักเสบนั้น ๆ  อย่างเช่น ในกรณีที่เส้นเอ็นอักเสบและไม่สามารถหายเองได้ อย่างเอ็นไขว้หน้าเสียหาย หรือหมอนรองกระดูกเข่าเกิดการฉีกขาด ก็สามารถรักษาด้วยการส่องกล้องผ่าตัเพื่อทำเส้นเอ็นไขว้หน้าทดแทน หรือเย็บซ่อมแซมหมอนรองกระดูกที่ฉีกขาด ซึ่งช่วยให้ผู้ป่วยสามารถกลับไปเล่นกีฬาได้เหมือนเดิมหลังจากรับการผ่าตัดรักษา นอกจากนี้ ในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นข้อเข่าเสื่อม และมีอาการรุนแรง หรือมีอาการมานานจนถึงขั้นเรื้อรังแล้ว เช่น ต้องใช้ยาแก้ปวดมาโดยตลอด หรือการมีขาโก่งผิดรูป เป็นต้น สามารถรักษาด้วยการผ่าตัดเปลี่ยนข้อ ซึ่งจะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เพราะในกรณีข้อเสื่อม การผ่าตัดสามารถเปลี่ยนผิวข้อทดแทนได้เลย

ดูบทความการผ่าตัดข้อเข่าเพิ่มเติมที่ : https://kdmshospital.com/article/joint-replacement-surgery/

วิธีดูแลตัวเองเพื่อป้องกันข้อเข่าอักเสบ

เนื่องจากการอักเสบของข้อเข่า ไม่ว่าจะเป็น กล้ามเนื้อเข่าอักเสบ เส้นเอ็นอักเสบ หรือกระดูกอ่อนข้อเข่าอักเสบ ล้วนเกิดจากปัจจัยต่าง ๆ ในการใช้ชีวิตประจำวันที่ส่งผลต่อการใช้งานข้อเข่าที่ไม่เหมาะสม ดังนั้น วิธีการดูแลตัวเอง หรือปรับอิริยาบถให้เหมาะสม และเสริมสร้างกล้ามเนื้อเข่าให้แข็งแรง จะช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันข้อเข่าอักเสบได้ ซึ่งมีดังต่อไปนี้

บริหารกล้ามเนื้อข้อเข่า

การบริหารกล้ามเนื้อบริเวณข้อเข่า อย่างน้อยวันละ 2-3 เวลาเป็นประจำ ช่วยในการเสริมความมั่นคงของข้อเข่า ทำให้สามารถเคลื่อนไหว หรือปรับเปลี่ยนท่าทางได้อย่างคล่องแคล่วมากขึ้น รวมไปถึง ช่วยยืดอายุการใช้งานของข้อเข่าอีกด้วย โดยในการบริหารข้อเข่าควรเริ่มจากท่าทางที่ง่ายก่อน หลังจากนั้นค่อยเพิ่มระดับความยากขึ้นไป และควรหยุดพักหากเกิดความเจ็บปวด

ดูบทความบริหารเข่าเพิ่มเติมที่ : https://kdmshospital.com/article/knee-exercise/

ออกกำลังกาย

นอกจากการออกกำลังกายในปริมาณที่เหมาะสมจะช่วยให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน (Endorphins) ซึ่งช่วยให้ทุกคนรู้สึกสดชื่น และกระปรี้กระเปร่าแล้วนั้น การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอยังช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย และเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้ออีกด้วย โดยผู้ที่มีปัญหาเรื่องข้อเข่า ควรเลือกกิจกรรมที่ทำให้ร่างกายได้เคลื่อนไหวทุกส่วนและไม่มีการกระแทกอย่างรุนแรง เช่น การว่ายน้ำ เพราะน้ำช่วยพยุงร่างกาย ทำให้ไม่เกิดแรงกระแทกที่ข้อต่อ นอกจากนั้น การว่ายน้ำยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และสุขภาพของหัวใจอีกด้วย

ท่านั่งที่ถูกต้องและท่าที่ควรหลีกเลี่ยง

ท่านั่งที่ไม่เหมาะสมทำให้เกิดแรงกดภายในข้อเข่า ส่งผลให้กระดูกอ่อนของข้อเข่าสึกกร่อนเร็วขึ้น ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงท่านั่งที่ก่อให้เกิดการบิดงอเข่าติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน อาทิ นั่งขัดสมาธิ นั่งพับเพียบ นั่งคุกเข่า นั่งยอง นั่งงอเข่าพับไปใต้เก้าอี้ หรือนั่งไขว่ห้าง เป็นต้น รวมไปถึง ควรลุกเดินเป็นระยะหรือปรับเปลี่ยนอิริยาบถให้อยู่ในท่านั่งที่เหมาะสม อย่างการนั่งบนเก้าอี้ที่ลำตัวสามารถทำมุมตั้งฉากกับขาได้ และควรมีที่วางแขนเพื่อช่วยในการพยุงตัวเมื่อต้องการลุก หรือในกรณีที่ต้องนั่งต่ำหรือนั่งพื้น ควรนั่งในท่าที่เหยียดขาออกไป

หลีกเลี่ยงการยืนหรือนั่งในท่าเดิมนาน ๆ

การนั่งนิ่งหรือยืนนิ่ง ในท่าเดิมติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน จะส่งผลให้เกิดแรงกดของน้ำหนักตัวลงไปที่เข่ามากขึ้น และเลือดไปเลี้ยงบริเวณกระดูกอ่อนข้อเข่าน้อยลง ดังนั้น ควรปรับอิริยาบถ ด้วยการลุกขึ้นเดินไปมาอย่างน้อยทุก ๆ 1-2 ชั่วโมง หรือนั่งเหยียดขา และเตะขาเบาๆ เพื่อเป็นการบริหารกล้ามเนื้อต้นขาร่วมด้วย นอกจากนี้ ในกรณีที่ต้องเดินหรือยืนเป็นระยะเวลานาน ควรเลือกรองเท้าที่มีพื้นนิ่ม หรือหลวมเล็กน้อย และมีความสูงของส้นไม่เกิน 2 นิ้ว จะช่วยในการกระจายน้ำหนักร่างกาย และลดปัญหาปวดฝ่าเท้าได้

ลดน้ำหนัก

การมีน้ำหนักตัวที่เกินมาตรฐาน จะส่งผลให้ข้อต่อเข่าทำงานหนักขึ้น และเกิดการเสียดสีมากกว่าปกติ ซึ่งเป็นอีกสาเหตุที่ก่อให้เกิดการอักเสบ หรือการสึกกร่อนของกระดูกอ่อนบริเวณข้อเข่าได้ ดังนั้น การลดน้ำหนัก หรือควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม จะช่วยในการถนอมข้อเข่าให้ทำงานได้อย่างเป็นปกติ และเพิ่มความคล่องแคล่วในการเคลื่อนไหวให้แก่ร่างกาย

สรุป

การหลีกเลี่ยงอิริยาบถที่ไม่เหมาะสม และหมั่นออกกำลังกายข้อเข่าเป็นประจำ จะช่วยถนอมและยืดอายุของข้อเข่าให้นานยิ่งขึ้น รวมไปถึง ทำให้สามารถใช้ชีวิตประจำได้อย่างมีความสุขจากการมีข้อเข่าที่แข็งแรง แต่ถ้าหากเกิดความผิดปกติบริเวณข้อเข่า เช่น ข้อเข่าอักเสบ กล้ามเนื้อเข่าอักเสบ หรือกระดูกอ่อนข้อเข่าอักเสบ ผู้ป่วยควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยหาสาเหตุของอาการเพื่อเข้ารับการรักษา เพราะการรักษาที่ทันท่วงที จะลดความรุนแรงของโรค ซึ่งทำให้ข้อเข่ากลับสู่สภาพปกติ และช่วยให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่วเช่นเดิม

คำถามที่พบบ่อย

ข้อเข่าอักเสบคืออะไร ?

ข้อเข่าอักเสบ ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในอาการของโรคข้อเข่าเสื่อม กล่าวคือ เมื่อข้อเข่าถูกใช้งานอย่างหนักติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน จึงส่งผลให้กระดูกอ่อนข้อเข่าที่ทำหน้าที่รองรับน้ำหนักของร่างกายบาดเจ็บ ซึ่งอาจเกิดจากการเสียดสีหรือการสึกหรอตามช่วงวัย

กลุ่มที่เสี่ยงเป็นข้อเข่าอักเสบได้ง่ายคือใครบ้าง ?

– กลุ่มคนที่มีปัจจัยทางร่างกายที่ส่งผลให้เกิดการใช้ข้อเข่ามากกว่าคนทั่วไป เช่น คนที่มีน้ำหนักตัวเกินค่ามาตรฐาน
– กลุ่มคนที่มีกิจวัตรประจำวันที่ก่อให้เกิดแรงกดที่ข้อเข่า เช่น คนที่ต้องยกของหนักเป็นประจำ
– กลุ่มนักกีฬาบางชนิดที่มีการกระแทกบ่อยครั้งหรือสามารถส่งผลให้เกิดอาการบาดเจ็บบริเวณเข่าได้
– กลุ่มผู้ที่มีโรคประจำตัว ที่ก่อให้เกิดการอักเสบของข้อเข่า เช่น โรคเกาต์ที่ส่งผลให้เกิดผลึกยูริกตกตะกอนในข้

สามารถรักษาอาการข้อเข่าอักเสบด้วยวิธีใดได้บ้าง ?

แนวทางในการรักษาอาการอักเสบของข้อเข่า สามารถทำได้หลายวิธีทั้งแบบไม่ผ่าตัดหรือการผ่าตัด รวมไปถึงการรักษาด้วยการทำกายภาพบำบัด โดยแพทย์จะเลือกใช้วิธีในการรักษาผู้ป่วยแต่ละคนแตกต่างกันออกไป ซึ่งขึ้นอยู่กับสาเหตุหรือปัจจัยที่ก่อให้เกิดการอักเสบ

วิดีโอที่เกี่ยวข้อง

Play Video

ปรึกษาอาการก่อนนัดพบแพทย์

Fri, 01 Oct 2021
Tag
ข้อเข่าอักเสบ
ข้อเข่าเสื่อม
หัวเข่า
เข่าอักเสบ
เข่าเสื่อม
Related doctors

Related packages
Total Knee Arthroplasty  (TKA) on one side using MAKO robotic surgery technology performed by a team of knee and hip replacement surgeons....
package 445,000* Baht
Hip Arthroplasty using MAKO robotic surgery technology to enhance precision in surgical procedures performed by a team of knee and hip replacement surgeons....
package 506,000* Baht
Related articles
How Many Types of Knee Prosthesis Are There and How to Choose the Right One for Osteoarthritis?
How is osteoarthritis treated? Why do we need to treat with a specialist?
Hip Replacement Surgery How to treat hip osteoarthritis (OA)
กระดูกสะโพกหัก โรคใกล้ตัวสูงวัยที่เราอาจมองข้าม
top line line