บทความ /

วิ่งแล้วเจ็บเข่า เจ็บข้อเท้า สำหรับนักวิ่งทั่วไปดูแลตัวเองอย่างไรดี

ปัญหาอาการเจ็บเข่า เจ็บข้อเท้า และอวัยวะที่ใช้ในการวิ่ง เป็นปัญหาที่พบได้ในนักวิ่งทั่วไป ซึ่งอาการเหล่านี้สามารถดูแลรักษา ฟื้นฟูให้กลับมาแข็งแรงพร้อมวิ่งได้ดังเดิม เพียงแต่ต้องเข้าใจว่าอาการบาดเจ็บนั้นมีสาเหตุมาจากอะไร เพื่อการแก้ไขที่ตรงจุด

สาเหตุของอาการบาดเจ็บที่เกิดจากการวิ่งมีหลากหลาย ซึ่งโดยเบื้องต้นสามารถแบ่งได้ออกเป็นหมวดใหญ่ๆ ได้สองประเภท คือ 

  1. การบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ เช่น ข้อเท้าพลิก หกล้ม ชนสิ่งกีดขวางต่างๆ 
  2. การบาดเจ็บจากการวิ่งที่เกิดจากการใช้งานกล้ามเนื้อ ข้อต่อผิดวิธี หรือมากจนเกินไป 

การบาดเจ็บที่เกิดจากอุบัติเหตุนั้นการรักษาจะเป็นไปตามการวินิจฉัยของแพทย์ออโธปิดิกส์ แต่การบาดเจ็บจากการใช้งานนั้นจะต้องเน้นการวิเคราะห์หาสาเหตุเพื่อแก้ไขหรือปรับพฤติกรรม การเสริมสร้างกล้ามเนื้อ และการฝึกทักษะต่าง ๆ เพื่อให้ฟื้นฟูกลับมาแข็งแรง กลับไปวิ่งได้อย่างมีความสุขอีกครั้ง 

ซึ่งในบทความนี้จะเน้นไปที่อาการบาดเจ็บหัวเข่าและข้อเท้า ที่ไม่ใช่อุบัติเหตุในนักวิ่งที่สามารถเข้าใจและทำตามได้ด้วยตนเอง

อ่านต่อ บทความเกี่ยวกับการบาดเจ็บข้อเท้า ข้อเข่า 

ข้อเท้าพลิก ‘ข้อเท้าพลิก’ อาการบาดเจ็บที่อาจเรื้อรังและอันตรายได้ หากไม่รักษาให้ทันท่วงที

เจ็บหัวเข่าวิเคราะห์อาการปวดหัวเข่า ปวดข้อเข่า แบบไหนอย่างไรจึงควรพบแพทย์

เจ็บข้อเท้าเจ็บข้อเท้า อาการบาดเจ็บใกล้ตัวที่คุณไม่ควรละเลย

Table of Contents

Running Injuries: อาการบาดเจ็บข้อเท้า ข้อเข่า จากการวิ่ง

สำหรับนักวิ่งทั่วไป อาการบาดเจ็บมักจะเกิดขึ้นได้ในขณะที่วิ่ง หรือหลังจากที่วิ่งเสร็จแล้ว ซึ่งสาเหตุโดยทั่วไปเกิดจากการใช้งานกล้ามเนื้อ-ข้อต่อมากจนเกินความสามารถ หรือกล้ามเนื้อ-ข้อต่อที่ยังไม่แข็งแรงเพียงพอ เมื่อต้องใช้งานหนักจะเกิดอาการบาดเจ็บ 

โดยอาการบาดเจ็บส่วนหนึ่งอาจเกิดจากอุปกรณ์กีฬา เช่น รองเท้าเสียดสี เสื้อผ้าที่ไม่เหมาะสม ฯลฯ ซึ่งนับเป็นการบาดเจ็บในอีกบริบทหนึ่งที่แก้ไขได้จากอุปกรณ์ในการวิ่ง รวมถึงการเตรียมตัวอื่นๆ

ปัจจัยที่ส่งผลต่ออาการบาดเจ็บข้อเข่า ข้อเท้า จากการวิ่ง

เพศ และอายุ 

  • เพศ – ตามการศึกษาที่ผ่านมามักจะมีการระบุว่าผู้หญิงจะบาดเจ็บได้ง่ายกว่า แต่ในปัจจุบันนี้ งานวิจัยต่างๆ ที่ตีพิมพ์ออกมาจะระบุว่า “เพศ” ไม่ใช่ปัจจัยสำคัญแล้ว แต่มักขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของกล้ามเนื้อข้อต่อ หรือโปรแกรมเทรนนิ่งที่ถูกต้องเสียมากกว่า โดยเฉพาะในการวิ่งระยะที่ไกลขึ้นกว่าการวิ่งระยะ 5-10 กิโลเมตร
  • อายุ – ส่วนเรื่องของ “อายุ” ถ้าหากเป็นการวิ่งระยะสั้น การบาดเจ็บมักจะเกิดขึ้นกับคนที่อายุมากกว่าหนุ่มสาวเป็นปกติ แต่ถ้าหากเป็นการวิ่งระยะไกล อย่างเช่น ระยะมาราธอน หรืออัลตร้ามาราธอนพบว่าปัจจัยเรื่องอายุอาจส่งผลน้อยลงจากประสบการณ์ของนักวิ่งนั่นเอง

จึงสามารถสรุปได้ว่า การฝึกซ้อมและเตรียมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและข้อต่ออย่างถูกต้องเหมาะสม สามารถทำให้ปัจจัยเหล่านี้มีผลน้อยลงได้

การวอร์มอัพ คูลดาวน์ ยืดเหยียด

การวอร์มอัพ หรือการอุ่นเครื่องก่อนออกกำลังกาย คือ สิ่งจำเป็นที่นักกีฬาต้องทำก่อนออกวิ่ง เพื่อช่วยให้ร่างกาย กล้ามเนื้อ และข้อต่อพร้อมสำหรับการวิ่ง และช่วยลดโอกาสการบาดเจ็บได้ 

การเตรียมก่อนออกกำลังกาย หรือวอร์มอัพ

Dynamic Stretching: การอุ่นเครื่องร่างกายสำหรับการวิ่งจะใช้วิธีที่เรียกว่า Dynamic Stretching คือการยืดเหยียดแบบขยับ เพื่อเตรียมกล้ามเนื้อและข้อต่อให้ได้ยืดหดอย่างเหมาะสม ร่วมกับการวิ่งเหยาะ ๆ ให้หัวใจได้เต้นในระดับ 50% ของอัตราการเต้นหัวใจสูงสุด โดยใช้เวลาเพียง 10-15 นาที นักวิ่งจะรู้สึกร่างกายอุ่นและพร้อมสำหรับการวิ่งมากขึ้น 

การอบอุ่นร่างกายแบบนี้นอกจากทำให้พร้อมในการออกกำลังกายแล้ว ยังทำให้ประสิทธิภาพในการออกกำลังกายดีขึ้นอีกด้วย อย่างที่เราได้เห็นเวลาถ่ายทอดวอลเลย์บอล จะเห็นว่านักกีฬามักจะวอร์มอัพด้วยการวิ่งรอบสนาม หรือมีการเต้นแอโรบิคก่อนงานวิ่งทุกงาน เป็นต้น 

หลังออกกำลังกาย และยืดเหยียด

Static Stretching: หลังวิ่ง นักวิ่งควรลดความเร็วจนเป็นการเดินก่อนและค่อยๆ พัก เพื่อให้หัวใจค่อยๆ ทำงานเบาลง เมื่อหายเหนื่อยก็ต่อด้วยการทำ Static stretching หรือการยืดเหยียดแบบค้าง เพราะหลังจากที่เราใช้กล้ามเนื้อหนักๆ มาระยะเวลาหนึ่ง กล้ามเนื้อจะเกิดการตึงตัวการยืดเหยียดแบบค้าง จะช่วยคลายกล้ามเนื้อออก และช่วยขับของเสียให้ออกไปจากกล้ามเนื้อได้เร็วขึ้นด้วย 

การยืดแบบ static stretching นั้นเราจะใช้เวลาในการนับค้างในแต่ละท่านาน 10-15 วินาที ซึ่งเหมาะสำหรับการยืดเหยียดหลังวิ่งเพื่อช่วยยืดกล้ามเนื้อให้คลายลงกลับสู่สภาวะปกติ แต่ถ้าหากว่าไม่ยืดเหยียดเลย ความตึงตัวของกล้ามเนื้อจะสะสม เรามีโอกาสจะบาดเจ็บได้มากขึ้นจากการใช้งานของกล้ามเนื้อและข้อต่อที่ยึดตึงไม่ปกตินั่นเอง 

อาการบาดเจ็บข้อเข่า ข้อเท่าที่พบบ่อยจากการวิ่ง

อาการบาดเจ็บ ข้อเข่า ข้อเท้า ที่พบได้บ่อยในนักวิ่งทั่วไป

สำหรับนักวิ่งบนถนนโดยทั่วไป อาการบาดเจ็บที่พบได้บ่อยมักจะเป็นบริเวณข้อเข่า และข้อเท้า ตามลำดับ 

อาการบาดเจ็บจากการวิ่งที่พบได้บ่อย เช่น

  • Runner’s knee หรือ Patellofemoral Pain Syndrome (PFPS) ปวดหน้าเข่า กระดูกอ่อนของลูกสะบ้าอักเสบ 
  • Jumper’s Knee หรือ Patellar Tendinitis เอ็นใต้สะบ้าอักเสบ
  • ITBS (iliotibial band Syndrome) เอ็นข้างเข่า กล้ามเนื้อต้นขาด้านนอกอักเสบ
  • Hamstring Strain เจ็บบริเวณกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง
  • Shin Splints กล้ามเนื้อบริเวณหน้าแข้งอักเสบ
  • Plantar Fasciitis รองช้ำ เอ็นใต้ฝ่าเท้าอักเสบ
  • Achilles Tendonitis เอ็นร้อยหวายอักเสบ

เจาะลึกอาการบาดเจ็บ ข้อเข่า ข้อเท้า ของนักวิ่งที่พบบ่อย

Runner’s Knee หรือ Patellofemoral Pain Syndrome (PFPS) กระดูกอ่อนข้อเข่าอักเสบ  

  • เป็นอาการเจ็บบริเวณด้านหน้าเข่า ที่พบบ่อยที่สุดของนักวิ่ง
  • มีจุดกดเจ็บไม่ค่อยชัดเจน
  • จะมีเสียงก๊อบแก๊บตรงเข่า ที่เป็นเฉพาะตอนวิ่งหรือเดินลงบันได
  • นานๆ ทีอาจมีอาการบวมแดงได้บ้าง
  • เน้นการเสริมสร้างความแข็งแรงกล้ามเนื้อ Quadriceps กับ Hamstring รวมถึงกล้ามเนื้อสะโพก ต้นขา น่อง เพื่อป้องกันอาการบาดเจ็บข้างเคียง

Jumper’s Knee หรือ Patellar Tendinitis เอ็นใต้สะบ้าอักเสบ

  • จุดกดเจ็บจะชัดเจน บริเวณหน้าเข่าใต้ลูกสะบ้า
  • มีอาการบวม แดง ร้อน ได้ชัดเจน
  • ยิ่งมีการงอเข่าจะยิ่งปวด
  • พบได้บ่อยจากการวิ่งก้าวเท้ายาว วิ่งขึ้น – ลงเนิน หรือวิ่งบนพื้นที่ผิวขรุขระ

ITBS (iliotibial band Syndrome) เอ็นนอกของเข่า กล้ามเนื้อต้นขาด้านนอกอักเสบ

  • อาการบาดเจ็บ ITBS จะเจ็บบริเวณเข่าด้านนอก ส่วนใหญ่จะรู้สึกตอนที่งอเหยียดเข่า หรืออาจจะเจ็บตอนที่วิ่งหรือหลังจากที่วิ่งเสร็จแล้ว 
  • บริเวณจุดกดเจ็บชัดเจน บางคนบวมแดง บางคนปวด จะร้าวไปทั้งต้นขา ไปถึงสะโพก
  • พบได้บ่อยในนักวิ่งทั่วไปและนักวิ่งเทรล มักจะมีอาการปวดระหว่างที่วิ่งลงบันไดหรือลงทางลาดชัน
  • สำหรับนักวิ่งเทรลส่วนใหญ่ก็จะเดินขึ้นสบาย แต่วิ่งลงไม่ได้ ต้องค่อยๆ แตะลงขาตรงๆ เพราะงอเหยียดแล้วเจ็บมาก 
  • เมื่ออาการเจ็บลดลงแล้ว ควรยืดเหยียดสะโพก กล้ามเนื้อสะโพก และเวทเทรนนิ่งกล้ามเนื้อกรามสะโพก 

Hamstring Strain เจ็บบริเวณกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง

  • มักจะเจ็บแปลบบริเวณต้นขาด้านหลัง
  • เนื่องจากกล้ามเนื้อตึงเกินไป ไม่ยืดหยุ่น และกล้ามเนื้อ Hamstring ไม่แข็งแรงเพียงพอต่อการใช้งาน
  • ควรวอร์มอัพ และยืดเหยียดกล้ามเนื้อก่อนวิ่ง รวมทั้งยืดเหยียดหลังวิ่ง เพื่อให้กล้ามเนื้อยืดหยุ่น คลายจากการหดตัว 
  • ที่สำคัญคือการเวทเทรนนิ่งกล้ามเนื้อรอบสะโพก และรอบเข่าให้แข็งแรง โดยไม่เน้นไปที่กล้ามเนื้อ Quadriceps เพียงอย่างเดียว

Shin Splints กล้ามเนื้อบริเวณหน้าแข้งอักเสบ

  • อาการบาดเจ็บที่เกิดจากการวิ่งระยะทางมากเกินไป หรือหักโหมเกินไป
  • รวมถึงการเพิ่มความเร็วเกินกำลัง หรือรองเท้าพื้นแข็งเกินไป พื้นถนนที่ไม่เรียบ
  • ควรฝึกวิ่งด้วยการค่อยๆ เพิ่มระยะทาง และความเร็ว
  • ควรมีการยืดเหยียดกล้ามเนื้อหน้าแข้งและกล้ามเนื้อน่องอย่างเหมาะสมอยู่เสมอ และเวทเทรนนิ่งกล้ามเนื้อหน้าแข้งเป็นประจำ

Achilles Tendonitis เอ็นร้อยหวายอักเสบ

  • เจ็บ บวม แดง บริเวณเอ็นร้อยหวาย อาจเจ็บลามมาถึงน่อง
  • มักเกิดกับนักวิ่งเทรล เพราะเกี่ยวข้องกับการวิ่งบนพื้นที่ไม่เรียบ และมีการขึ้นลงเนิน
  • ถ้าเกิดอาการบาดเจ็บเอ็นร้อยหวาย ควรหยุดพักทันที เพื่อไม่ให้การอักเสบลุกลาม 
  • เน้นการยืดน่องทีละน้อย ด้วยการยืนบนแผ่นกระดานเอียง หรือท่าดันกำแพง 
  • เพิ่มการเวทเทรนนิ่งด้วยการเขย่งขึ้นลง หลังจากที่อาการอักเสบหายดีแล้ว 

Plantar Fasciitis รองช้ำ เอ็นใต้ฝ่าเท้าอักเสบ

  • รองช้ำ เกิดขึ้นได้กับนักวิ่งทั่วไป
  • มักเกิดจากน่องที่ตึงมากๆ ทำให้พังผืดฝ่าเท้าทำงานหนัก 
  • อาการเจ็บตอนเช้า หรือตอนเช้าที่เดินก้าวแรกแล้วเจ็บ เมื่อเดินไปสักพักจะอาการดีขึ้น
  • ถ้าหากเจ็บฝ่าเท้าตลอดเวลา ยิ่งเดินยิ่งเจ็บมากขึ้น จะมีอาการบาดเจ็บของเอ็นภายในฝ่าเท้าอื่นๆ ร่วมด้วย 
  • แนะนำท่ายืดน่อง Calf Stretching เพื่อให้พังผืดใต้ฝ่าเท้าคลายตัว
  • เสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อในฝ่าเท้าด้วยท่า Towel Exercise หรือฝ่าเท้าขยุ้มผ้า ให้กล้ามเนื้อฝ่าเท้าได้ทำงาน
การประคบเย็นเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บที่ข้อเท้า

การรักษาอาการบาดเจ็บข้อเข่า ข้อเท้า สำหรับนักวิ่งทั่วไป

สำหรับนักวิ่งโดยทั่วไปแล้ว เมื่อเกิดอาการบาดเจ็บเฉียบพลันควรยึดหลัก R.I.C.E ซึ่งก็คือ 

  • Rest การหยุดพัก เมื่อเกิดอาการ
  • ICE ประคบด้วยน้ำแข็งบริเวณที่บาดเจ็บ 2-3 วันแรก
  • Compress การพันกระชับให้บริเวณที่บาดเจ็บเคลื่อนไหวน้อยที่สุด 
  • และ Elevation ยกเท้าสูง ให้เลือดไหลเวียน

ซึ่งโดยปกติที่ไม่ใช่กรณีร้ายแรง เมื่อหยุดพัก ประคบเย็นแล้วมักจะหายได้เอง เมื่อกลับไปวิ่งแล้วไม่มีอาการอีกก็ถือว่าหายเป็นปกติ แต่ในกรณีที่ยังไม่หาย หรือกลับเป็นซ้ำเรื่อยๆ ควรไปพบแพทย์ เพราะอาจเกิดจากการอักเสบเรื้อรัง หรือมีกล้ามเนื้อที่ไม่สมดุล ไม่แข็งแรงเพียงพอ รวมถึงมีบ่อยครั้งที่นักวิ่งมักเลือกรักษาตัวเอง เช่น เมื่อวิ่งแล้วเจ็บเข่า ก็จะเปลี่ยนท่าวิ่ง ซึ่งทำให้ไปเจ็บบริเวณหน้าแข้งแทน จนสักพักเมื่อขาทำงานไม่ไหวจะลุกลามไปเจ็บบริเวณสะโพกร่วมด้วย 

หากเกิดอาการบาดเจ็บบริเวณใดจากการวิ่งก็ตาม ถ้าหยุดพักแล้วอาการไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อการวิเคราะห์และให้คำแนะนำการรักษาได้ตรงจุด

การออกกำลังกายเสริมสร้างความแข็งแรงกล้ามเนื้อสำหรับนักวิ่ง

แม้ว่าจะมีท่าทางการออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อร่างกายท่อนล่างสำหรับนักวิ่ง แยกเฉพาะเป็นส่วนต่างๆ ตามอาการบาดเจ็บ แต่สิ่งที่ควรจะทำคือการออกกำลังกายสะโพก ต้นขา น่อง ฯลฯ ทั้งหมด เพื่อให้กล้ามเนื้อทุกส่วนแข็งแรงเพียงพอ ป้องกันการบาดเจ็บจากการลุกลามได้ด้วย

มีงานวิจัยมากมาที่พูดถึงอาการบาดเจ็บที่เข่า โดยเฉพาะหน้าเข่า ระบุว่าถ้ากล้ามเนื้อกางสะโพก (Hip Abductor Muscles) แข็งแรง จะลดโอกาสการเจ็บเข่าลงได้ หรือคนที่บาดเจ็บเข่า หลังจากรับการรักษาแล้วควรจะเสริมกล้ามเนื้อ Quadriceps ร่วมกับ Hamstring และกล้ามเนื้อสะโพก เพราะว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างการทำงานของกล้ามเนื้อสะโพกกับเข่า 

โดยสรุป อาการบาดเจ็บจากการวิ่งเกิดขึ้นได้ และรักษาให้หายได้เช่นกัน แต่การวินิจฉัยที่ถูกต้องและแผนการรักษาที่เหมาะสมจะทำให้อาการบาดเจ็บหายได้อย่างรวดเร็ว และจะเน้นการเสริมสร้างกล้ามเนื้อและร่างกายที่แข็งแรงเพื่อให้อาการบาดเจ็บไม่ลุกลาม เพื่อการวิ่งที่สมบูรณ์แบบ

การออกกำลังกายเสริมสร้างความแข็งแรงกล้ามเนื้อสำหรับนักวิ่ง

Q&A คำถามที่พบบ่อยสำหรับนักวิ่งทั่วไป

Q: อุปกรณ์ช่วยพยุงสำหรับนักวิ่งช่วยได้จริงไหม จำเป็นหรือไม่

อุปกรณ์ช่วยพยุง แม้จะไม่ได้ช่วยลดแรงกระแทก แต่ก็ช่วยกระจายแรงได้บ้าง เพราะหลักการของอุปกรณ์คือช่วยพยุงข้อทำให้รู้สึกมั่นคง และช่วยผ่อนแรงกล้ามเนื้อในระหว่างใช้งาน หรือหากมีอาการบาดเจ็บ อุปกรณ์จะช่วยทำให้จุดที่บาดเจ็บมีการขยับน้อยลง ซึ่งทำให้เจ็บน้อยลงด้วยเช่นกัน 

แต่ไม่แนะนำให้ใส่อุปกรณ์พยุงตลอดเวลา เพราะการใส่อุปกรณ์ไม่ใช่การรักษา แต่เป็นการประคับประคองอาการ การรักษาที่ถูกต้องของอาการเจ็บเข่าและข้อเท้าคือการพัก กินยา กายภาพบำบัด และออกกำลังกายให้กล้ามเนื้อแข็งแรง

Q: เลือกรองเท้าวิ่งอย่างไรให้วิ่งแล้วไม่เจ็บ

สำหรับนักวิ่งทั่วไป หรือนักวิ่งสมัครเล่น แนะนำให้เลือกรองเท้าวิ่งที่มีพื้นหนารองรับน้ำหนักก่อน เพราะรองเท้าโดยหลักการแล้วออกแบบมาเพื่อช่วยซัพพอร์ต ช่วยให้แรงกระแทกน้อยลง 

แต่สำหรับนักวิ่งที่ผ่านการฝึกซ้อมมานานแล้ว อาจะเลือกใส่รองเท้าวิ่งแบบบาง เพราะกล้ามเนื้อค่อนข้างแข็งแรง การใส่รองเท้าที่บางนั้นทำให้เท้าเบาและช่วยให้วิ่งเร็วขึ้นได้ โดยที่รองเท้าพื้นบางนั้นจะเป็นรองเท้ากลุ่มที่เรียกว่า Racer ถ้าว่าคนที่กล้ามเนื้อไม่ได้แข็งแรง แล้วไปใช้รองเท้าบางเกินไปก็มีโอกาสบาดเจ็บเกิดขึ้น 

Q: เวลาไปเที่ยวทะเล วิ่งที่ชายหาด ควรใส่รองเท้าวิ่งหรือไม่

แนะนำว่าควรใส่รองเท้าวิ่ง ไม่ว่าจะวิ่งที่ไหนก็ตาม โดยเฉพาะชายหาดที่เป็นพื้นนิ่ม ทำให้เราต้องการแรงส่งมากขึ้น ต้องใช้แรงของกล้ามเนื้อมากขึ้นในการดีดตัวไปข้างหน้า ซึ่งทำให้เราใช้กล้ามเนื้อหนักขึ้น และจะทำให้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อมากขึ้น หรืออาจเกิดการบาดเจ็บได้ นอกเหนือจากนั้นก็จะมีเรื่องหินบาด เปลือกหอยบาด ที่การใส่รองเท้าจะช่วยป้องกันการบาดเจ็บเหล่านี้ได้ด้วย

Tue, 20 Jul 2021
แท็ก
เจ็บข้อเท้า
เจ็บหัวเข่า
วิ่ง

Related packages
Minimally Invasive Surgery for knee joint injuries, for example, Anterior Cruciate Ligament (ACL) injuries or other related knee joint diseases performed by sports medicine and shoulder surgeons...
package 298,000* บาท
package สิ้นสุด 30/06/2024
Arthroscopic shoulder surgery to treat rotator cuff tear, shoulder osteoarthritis , or other shoulder-related diseases by a team of sports medicine and shoulder surgeons....
package 367,000* บาท
package สิ้นสุด 30/06/2024
บทความอื่นๆ
ทำไมต้องเสริมสมรรถภาพทางกายในการเล่นกีฬา?
[ถาม-ตอบ] อยากเริ่มวิ่งเทรล ต้องทำยังไง?
กล้ามเนื้อของคุณแข็งแรงแค่ไหน? ทดสอบด้วยตนเองง่ายๆ ในท่า Push Up
ไม่ต้องเป็นนักกีฬา ก็ใช้เวชศาสตร์การกีฬารักษาอาการบาดเจ็บได้
top line

Login